บทความ >> วัยเด็ก

มองหาอะไรในขวบปีแรก

เคยมีคุณแม่มือใหม่ถามว่า ในช่วงขวบปีแรก เราจะเสริมสร้างอะไรให้ลูกได้บ้าง…ก่อนที่จะไปถึงคำตอบของคำถามนั้น สำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่แล้ว

         ประโยค หนึ่งที่ไม่ควรเป็นประโยคติดปากคือ “ถ้ารู้อย่างนี้…ทำแต่แรกก็ดี”  ใช่ค่ะ.. ไม่มีใครรู้ทุกเรื่องแต่แรก แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับลูกน้อยแล้ว เชื่อได้ว่า คุณพ่อคุณแม่ทุกคนอยากรู้ทุกอย่างจริงไหมคะ

          เมื่อพูดถึงการเสริมสร้างทักษะของเด็กแบเบาะแล้ว สิ่งแรกที่คุณพ่อคุณแม่ควรทราบคือ ในช่วงขวบปีแรกนั้น ลูกจะสามารถทำอะไรได้บ้าง คำตอบก็คือ

          1. สามารถใช้สมองคิดและประมวลผล รวมถึงพัฒนาความสามารถด้านภาษา

          2. เรียนรู้ที่จะยืนขึ้นตรงเพื่อพร้อมจะเดิน ซึ่งรวมไปถึงการพยายามที่จะควบคุมศีรษะของตัวเองให้ได้ตั้งแต่สัปดาห์แรก

          3. ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อนิ้ว ซึ่งทำให้ในเดือนที่ 10 เด็กจะต้องสามารถคีบเมล็ดถั่วแดงด้วยนิ้วชี้และนิ้วโป้งได้

         ขอยกตัวอย่างเรื่องของการคีบถั่วก่อนก็แล้วกันค่ะ คุณพ่อคุณแม่อาจไม่ทราบว่า การที่เราจะสามารถคีบถั่วด้วยนิ้วนั้นไม่ใช่ความสามารถที่ติดตัวมาตั้งแต่ เกิด แต่ต้องใช้องค์ประกอบหลายอย่างเข้าไว้ด้วยกัน นับตั้งแต่

        /data/content/25645/cms/e_acdejklswx67.jpg - กล้ามเนื้อที่เป็นตัวบังคับควบคุมการทำงานของนิ้วโป้งและนิ้วชี้ให้บีบเข้า หากัน จนทำให้นิ้วทั้งสองชิดติดกันเป็นรูปมือจีบสำหรับคีบได้

         - สมองที่ส่งสัญญาณไปยังกล้ามเนื้อสั่งให้คีบขึ้นมา

         - สายตาต้องมองเห็นได้อย่างชัดเจน ซึ่งเกี่ยวเนื่องไปถึงเรื่องของการกะระยะทางระหว่างมือกับถั่ว พิกัดของถั่ว รวมถึงมือจะต้องเคลื่อนที่ไปให้ถูกทิศทางด้วย

        - สมองที่ต้องได้รับการพัฒนามากพอที่จะสั่งให้กล้ามเนื้อทำงานได้อย่างถูกต้อง

        - เซลล์ประสาททั้งหลายที่ต้องทำงานประสานกันเพื่อเป็นตัวรับและส่งภาพ แปลผล และส่งกลับไปมา

        เห็นไหมคะว่า เรื่องเล็กนิดเดียวกลับต้องใช้องค์ประกอบหลายส่วนที่ต้องทำงานประสานกัน เหมือนการเล่นดนตรีเป็นวงจึงจะได้เพลงที่มีท่วงทำนองไพเราะ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เบบี๋ตัวน้อยจะต้องพัฒนาได้ตามปกติตอน 9 เดือน

         กลับมาที่คำถามที่ว่า จะสามารถเสริมสร้างทักษะอะไรให้กับลูกได้บ้างนั้น ก่อนอื่นคงต้องเปลี่ยนความคิดคุณพ่อคุณแม่อีกหลายต่อหลายท่านที่เคยมองว่า เด็กในวัยแบเบาะนั้น มองอะไรก็ช้า ไม่ค่อยได้ยินอะไร รวมถึงทำอะไรไม่ได้ (หรือว่าไม่ต่างกับผักนึ่งที่มีแต่กินและก็นอน) เสียก่อนค่ะ

         มีอยู่ 3 สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรตระหนักรู้ เพื่อที่จะสามารถสังเกตถึงความบกพร่องที่อาจเกิดขึ้นได้ ตั้งแต่ในช่วงเดือนแรกของชีวิตของลูกน้อยก็คือ

          1. เด็กสามารถยิ้มตอบเมื่อเห็นหน้าคุณพ่อคุณแม่ในระยะ 1 ไม้บรรทัด

          2. เมื่อได้ยินเสียงกรอบแกรบ เด็กจะกรอกตาไปตามเสียง แล้วจึงค่อย ๆ หันศีรษะตามไป (คุณแม่จะลองใช้วิธีขยำกระดาษใกล้ ๆ ก็ได้ค่ะ)

          3. เมื่ออุ้มขึ้นจากการนอนหงาย เด็กจะต้องพยายามควบคุมศีรษะตัวเองให้ยกขึ้น แทนที่จะปล่อยศีรษะให้ตกไปด้านหลัง

          ถ้าเด็กไม่สามารถทำข้อหนึ่งข้อใดใน 3 ข้อนี้ตั้งแต่เดือนแรกแล้วละก็ คุณพ่อคุณแม่ควรจะพาลูกน้อยไปปรึกษาแพทย์จะดีที่สุดค่ะ

        /data/content/25645/cms/e_bdegijnsvxy7.jpg นอกเหนือจากเรื่องเหล่านี้แล้ว งานวิจัยสมัยใหม่บอกเราหลายอย่าง สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราเข้าใจลูกมากขึ้นคือการที่งานวิจัยชี้ไปในทิศทางเดียว กันที่ว่า เด็กผู้หญิงกับเด็กผู้ชายถูกสร้างให้เกิดมาไม่เหมือนกัน ทั้งในแง่ของทางด้านร่างกายและด้านอารมณ์ ซึ่งต้องบอกก่อนว่า การที่เด็กผู้ชายกับเด็กผู้หญิงเกิดมาไม่เหมือนกันนี้ ไม่ได้แปลว่า เพศไหนดีกว่าเพศไหน แต่การที่คุณพ่อคุณแม่เข้าใจว่าเด็กทั้ง 2 เพศมีความแตกต่างกันในด้านต่าง ๆ จะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่เองสามารถเพิ่มความสนใจในแต่ละส่วน รวมถึงช่วยส่งเสริมให้พัฒนาการถูกทางอีกด้วย

          ศาสตราจารย์ด้านพัฒนาการเด็กจาก Royal College of Physician สหราชอาณาจักรได้ ให้คำแนะนำไว้ว่า เด็กผู้หญิงจะเกิดมาพร้อมกับข้อได้เปรียบ 2 อย่างคือ ด้านภาษา เพราะสมองในส่วนพัฒนาการด้านภาษาของเด็ก ผู้หญิงได้รับการพัฒนามาตั้งแต่อยู่ในครรภ์ และด้านการเข้าใจอารมณ์และความเห็นอกเห็นใจ นั่นก็เพราะว่า สมอง 2 ฝั่งของเด็กผู้หญิงได้เชื่อมต่อกันตั้งแต่เกิด ในขณะที่สมองทั้ง 2 ฝั่งนี้จะเชื่อมต่อกันได้ดีในเด็กผู้ชายเมื่ออายุได้ประมาณ 9 เดือน ทำให้เด็กผู้หญิงแสดงอารมณ์ได้ชัดเจนมากกว่ารวมถึงเข้าใจและเห็นอกเห็นใจกับ สิ่งต่าง ๆ รอบตัว

         นอกจากนั้นการเชื่อมโยงของสมองยังส่งผลต่อเรื่องของทักษะการอ่าน ทำให้เด็กผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะเข้าใจในเนื้อหาต่าง ๆ ได้ดีกว่าเด็กผู้ชาย

         ในเรื่องเดียวกัน งานวิจัยทางการแพทย์สมัยใหม่ยังพบด้วยว่า สมองส่วนคอร์เทกซ์ซึ่งเกี่ยวกับความเฉลียวฉลาดนั้นพัฒนาในเด็กผู้หญิงก่อน เด็กผู้ชาย ซึ่งส่วนซ้ายของสมองส่วนคอร์เทกซ์นี้เกี่ยวเนื่องโดยตรงกับเรื่องของกระบวน การคิด ในท้ายที่สุดทำให้คุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกชายและลูกสาวอาจคิดได้ว่า ดูเหมือนลูกสาวจะเก่งและฉลาดกว่าลูกชายนั่นเองค่ะ

         แล้วถ้าคุณพ่อคุณแม่มีลูกเป็นเด็กผู้ชายก็อย่าเพิ่งน้อยใจนะคะ เพราะข้อได้เปรียบของเด็กผู้ชายก็มีเช่นเดียวกัน ตัวอย่างก็คือ เด็กผู้ชายจะมีความสามารถในเชิงสามมิติซึ่งเป็นพื้นฐานวิชาคณิตศาสตร์ได้ดี กว่าเด็กผู้หญิง รวมถึงเมื่อเข้าโรงเรียนแล้ว เด็กผู้ชายจะเก่งกว่าเด็กผู้หญิงทางด้านกีฬากลางแจ้ง เช่น วิ่ง กระโดด และการขว้างบอล

          ส่วนคุณพ่อคุณแม่ที่ตั้งคำถามในใจว่า แล้วจะพัฒนาลูกชายของเราให้มีทักษะด้านภาษาและด้านอารมณ์ที่ดีขึ้นได้หรือ ไม่ จริง ๆ แล้ว ศาสตราจารย์ด้านกระบวนการเรียนรู้จากมหาวิทยาลัยวอชิงตันในสหรัฐได้ให้คำแนะ นำไว้ว่า ในด้านภาษา คุณพ่อคุณแม่ควรที่จะพูดด้วยบ่อย ๆ โดยพูดช้า ๆ และชัด ๆ นอกจากนั้น ควรจะร้องเพลงที่จดจำง่ายให้ฟัง รวมถึงถ้ามีโอกาสควรเล่นเกมตบมือตามจังหวะ

          ในด้านของอารมณ์ คุณพ่อคุณแม่ควรจะที่สัมผัสลูกอย่างเบามือ ชื่นชมเมื่อลูกทำอะไรสำเร็จแม้เป็นก้าว เล็ก ๆ ก็ตาม และเมื่อลูกโกรธหรือเสียใจ ควรจัดการอารมณ์ของลูกด้วยความเข้าใจ โดยที่ไม่ขวางการแสดงอารมณ์ แต่บอกว่า “แม่รู้ว่าลูกเสียใจ และแม่ก็เสียใจครับ” โดยที่ไม่ดุว่าลูกที่ลูกร้องไห้ เพราะจะทำให้เกิดการเก็บกดซึ่งส่งผลระยะยาวในตอนโต

          ต้นเดือนหน้ามาพบกับเรื่องของชั่วโมงทองของลูกน้อย เรื่องของ 1 ชั่วโมงต่อวันที่ส่งผลต่อพัฒนาการและทักษะที่จำเป็น 5 ด้าน ซึ่งควรได้รับการปลูกฝังตั้งแต่เด็กอายุเพียง 1 เดือน ชั่วโมงทองนี้จะจำเป็นแค่ไหน และควรที่จะทำอย่างไรบ้าง มาพบกับคำตอบได้ค่ะ

      อาจารย์ ดร.ปรียาสิริ วิฑูรชาติ ศูนย์นโยบายและการจัดการสุขภาพ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

ที่มา : เว๊ปไซด์ สสส.

ภาพจากอินเตอร์เน็ต

Copyright© 2014 HappyFamilyNan.com. All Rights Reserved